วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2560

อะเซโลรา เชอร์รี่ หรือ เชอร์รี่ไทย (ชื่อวิทยาศาสตร์ : Malpighia punocifolia L.)

อะเซโลรา เชอร์รี่ หรือ เชอร์รี่ไทย (ชื่อวิทยาศาสตร์ : Malpighia punocifolia L.)

     เป็นพืชเขตร้อน (tropical to sub-tropical) มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะอินดีสตะวันตก (West Indies) แถบทะเลแคริบเบียน โดยพบทางตอนเหนือของอเมริกาใต้ เช่น เม็กซิโก บาฮามาส ทรินิเดด คิวบา จาไมก้า บราซิล เปอร์โตริโก และแผ่ขยายไปจนถึงอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ เชื่อกันว่ามีการนำจากประเทศคิวบาไปปลูกที่รัฐฟลอริดา อเมริกา ในค.ศ. 1887-1888 ก่อนที่จะมีการนำไปปลูกที่ประเทศเปอร์โตริโกก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีการนำไปปลูกทั่วโลก เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย เป็นไม้พุ่มขนาดใหญ่ สูงประมาณ 6 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เซนติเมตร มีขนอ่อนเล็กๆที่กิ่ง มีดอกสีชมพู ถึงสีม่วงอ่อน(ลาเวนเดอร์) ผลของอะเซโลรา เชอร์รี่อาจเป็นผลเดี่ยว หรือเป็นช่อประมาณ 2-3 ลูก มีลักษณะแป้นถึงกลม คล้ายเชอร์รี่ แต่มี 3 หยัก ขนาดกว้างประมาณ 1.25-2.5 เซนติเมตร ผิวมันบาง สีแดงสด เนื้อชุ่มน้ำสีส้ม มีรสเปรี้ยว หรืออมเปรี้ยวจนเกือบหวาน มีกลิ่นคล้ายแอปเปิ้ล ใน 1 ผลจะมี 3 เมล็ด เนื่องจากผลของอะเซโลรา เชอร์รี่มีผิวที่ค่อนข้างบาง จึงทำให้ช้ำง่าย และเสื่อมสภาพเร็ว หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วจะเกิดกระบวนการหมักอย่างรวดเร็ว (ประมาณ 3-5 วัน) และถ้าไม่เก็บไว้ในที่อุณหภูมิต่ำ (7°c) จะทำให้เกิดเชื้อราขึ้นได้ง่าย โดยถ้าต้องการเก็บไว้นานๆ ต้องเก็บที่อุณหภูมิต่ำกว่า -12°c จึงนิยมรับประทานผลสด หรือนำไปทำแยม เยลลี่ ไซรัป น้ำผลไม้ และก็มีการนำมาประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่างๆ เช่น ผงขัดผิว สบู่/เจลล้างหน้า หรือเป็นส่วนผสมในครีมและเครื่องสำอางต่างๆ เป็นต้น

คุณประโยชน์ ของ อะเซโรลา เชอร์รี่

1. ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน
2. ทำให้ผิวพรรณอ่อนเยาว์ ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน จึงช่วยให้แผลในร่างกายหายเร็วขึ้น และที่สำคัญยังทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย รวมถึงทำให้รอยเหี่ยวย่นจากวัยลดลงได้ด้วย
3. ป้องกันมะเร็ง โดยมีสารที่ยับยั้งการก่อนตัวของเซลล์มะเร็ง ทั้งยังช่วยยับยั้งเอ็นไซม์ที่ทำให้มะเร็งมีการกระจายตัวอีกด้วย
4. บรรเทาโรคเบาหวาน ช่วยชะลอการย่อยคาร์โบไฮเดรต และการดูดซึมกลูโคส
5. มีวิตามินซี ซึ่งดูดซึมได้ดีกว่าวิตามินซีทั่วไปถึงเกือบสองเท่า ทำให้วิตามินซีจากอะเซโรลาเชอร์รี่ในปริมาณเท่ากันกัน มีประโยชน์มากกว่าวิตามินซีทั่วไป
6. เสริมสร้างภูมิต้านทาน มีระดับของเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นในเลือด ซึ่งเม็ดเลือดขาวมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันในการกำจัดเชื้อโรคจากร่างกาย
7. ฆ่าเชื้อรา ซึ่งทำให้ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อราตามผิวหนัง หรือในส่วนต่างๆของร่างกาย

ปริมาณสารอาหารในส่วนที่กินได้ของอะเซโลรา เชอร์รี่ 100 กรัม 

พลังงาน 59 แคลอรี่ 
ความชื้น 81.9-91.0 กรัม 
โปรตีน 0.68-1.8 กรัม 
ใยอาหาร 0.6-1.2 กรัม 
ไขมัน 0.18-1 กรัม 
คาร์โบไฮเดรต 6.98-14.0 กรัม 
เถ้า 0.77-0.82 กรัม

แคลเซียม 8.2-34.6 มิลลิกรัม 
ฟอสฟอรัส 16.2-37.5 มิลลิกรัม 
เหล็ก 0.17-1.11 มิลลิกรัม 
แคโรทีน 0.003-0.0408 มิลลิกรัม 
วิตามินเอ 408-1000 มิลลิกรัม 
กรดโฟลิก 13.7 ไมโครกรัม 
วิตามินบี 1 0.024-0.04 มิลลิกรัม 
วิตามินบี 2 0.038-0.079 มิลลิกรัม 
ไนอะซิน 0.34-0.526 มิลลิกรัม 
วิตามินซี (ขึ้นกับสายพันธุ์) 

ผลดิบสีเขียว 4500 มิลลิกรัม 
ผลกึ่งสุก 3300 มิลลิกรัม 
ผลสุก 2000 มิลลิกรัม 
เฉลี่ยทุกสายพันธุ์ 1500 มิลลิกรัม 
 

วิธีการปลูก

     ใส่ดินดำ 1 ส่วน แกลบดิบ 2 ส่วน มูลสัตว์ 1 ส่วน ลงในภาชนะที่จะทำการปลูก จากนั้นนำต้นกล้าหรือเมล็ดลงปลูก รดน้ำให้ดินชื้นพอหมาดๆ อย่าลดมากจนเกินไป จากนั้นให้หมั่นใส่ปุ๋ยเป็นระยะๆ หรือประมาณ 15 วันครั้ง โดยใช้เป็นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยมูลสัตว์ และควรหมั่นดูแลรักษาไม่ให้แมลงรบกวน เพียงเท่านี้เมื่อเวลาผ่านไปคุณก็จะได้ต้นเชอรี่ที่สมบูรณ์แข็งแรง



  -----------------------------------------------
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://sites.google.com
http://www.farmthailand.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น